อยากรู้ กดดูสิคะ

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

มาบำรุงสมองกัน เพื่อนๆๆ

 
                                                            
 
 
สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย หากสมองได้รับการดูแลรักษาที่ดีย่อมเป็นผลดีต่อสุขภาพของคนๆนั้น เรื่องอาหารการกินเป็นปัจจัยหนึ่งทีมีผลต่อการทำงานของสมอง การรู้จักเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารช่วยบำรุงสมองจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารบำรุงสมองแล้วนำไปใช้ในการซ่อมแซมหรือทำให้การทำงานและสุขภาพของสมองเจริญเติบโตแข็งแรงสามารถทำงานตามหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สารอาหารบำรุงสมองที่ได้จากอาหารบำรุงสมองที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมีหลายชนิด แต่สารอาหารบำรุงสมองที่คนส่วนมากจะรู้จักกันดีคือ โอเมก้า-3 (Omega-3) ที่มีอยู่ในปลาทะเลน้ำลึก นอกจากโอเมก้า-3 แล้วยังมีสารอาหารที่มีคุณสมบัติในการบำรุงสมองชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิดที่ล้วนมีประโยชน์ต่อการทำงานของสมองไม่น้อยกว่าโอเมก้า-3 สารอาหารเหล่านี้คืออะไรและจะหาได้จากอาหารประเภทใดบ้าง
 
 

โอเมก้า-3 มีอยู่ในปลาทะเลน้ำลึกเป็นสารอาหารบำรุงสมองตัวสำคัญที่เป็นรู้จักกันดี เป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัวกลุ่มหนึ่งมีอยู่ในปลาแซลมอน ปลาทูน่า ฯลฯ ที่ถูกเรียกรวมๆ ว่า โอเมก้า-3 มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์กับสมองหลายอย่างโดยเฉพาะมีฤทธิ์ต่อจิตใจ ทำให้สมองกระฉับกระเฉงและมีสมาธิดีขึ้น สารอาหารโอเมก้า-3 จะกระตุ้นให้เซลล์สมองมีความไวต่อการรับสัญญาณประสาท เมื่อโอเมก้า-3 เข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและถูกส่งต่อไปยังตับและสมองเพื่อสร้างเซลล์ประสาททำให้การทำงานของสมองดีขึ้น

โคลีน เป็นสารอาหารบำรุงสมองที่ได้จากอาหารบำรุงสมองจำพวก ข้าวกล้อง ข้าวโพด ผักใบเขียวต่างๆ โดยโคลีนจะมีมากในส่วนที่เป็นจมูกข้าวโพด ดังนั้นการนำข้าวโพดมาทำอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารโคลีนจึงต้องใช้มีดคมฝานให้ลึกถึงซังข้าวโพด อาการที่ร่างกายขาดโคลีนคือ ปัญหาทางด้านความจำ หลงลืม เศร้าหมอง ขาดสมาธิและจิตใจหดหู่

 
แมงกานีส เป็นสารอาหารบำรุงสมองอีกชนิดหนึ่งที่เป็นเกลือแร่ช่วยควบคุมดูแลสุขภาพของสมองและระบบประสาท อาหารบำรุงสมองที่มีแมงกานีสมากได้แก่ อาหารทะเล ตับหมู ผักใบเขียวเข้ม นอกจากนี้ผลไม้ที่มีสารอาหารแมงกานีสได้แก่ แอปเปิ้ล มะม่วง เป็นต้น
 
วิตามินบี เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ซึ่งแยกออกได้หลายชนิดดังนี้ วิตามินบี 1 ช่วยสร้างเซลล์ประสาทให้แข็งแรงมีอยู่ในอาหารบำรุงสมองจำพวกเมล็ดธัญพืชหรืออาหารที่ปรุงจากเมล็ดข้าวเช่น ขนมปัง พาสต้า ฯลฯ วิตามินบี 5  ช่วยในการสร้างโคเอ็นไซม์ที่ใช้ถ่ายทอดสัญญาณประสาทมีมากในอาหารบำรุงสมองประเภทเนื้อวัว ไก่ ปลา สัตว์ปีกและเมล็ดพืชที่เป็นฝักเช่น กระถิน ถั่ว ฯลฯ วิตามินบี 6 เป็นสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความนึกคิดของคน พบได้ในอาหารจำพวก เครื่องในสัตว์ ปลาและเมล็ดถั่วที่เป็นฝัก วิตามินบี 12 เป็นสารอาหารที่ช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้เซลล์เม็ดเลือดแดง บำรุงรักษาเนื้อเยื่อประสาท พบในอาหารจำพวก ไข่ นม ปลา และผลิตภัณฑ์จากนมต่าง ๆ
กรดโฟลิค เป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ พบมากในอาหารจำพวก กล้วย ส้ม มะนาว ผักใบเขียว ถั่วเหลืองและธัญพืชต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองกรดโฟลิคเป็นสารอาหารสำคัญต่อระบบการเผาผลาญกรดไขมันโมเลกุลยาวในสมอง

 
แมกนีเซียม โปแตสเซียมและแคลเซียม ล้วนเป็นสารอาหารที่มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท มักจะพบมากในอาหารบำรุงสมองจำพวกผักใบเขียวเข้ม ผลไม้และธัญพืชต่างๆ นอกจากนี้การกินผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) ที่มีประโยชน์ในเรื่องชะลอการเสื่อมของสมองที่อายุมากขึ้นและช่วยป้องกันไม่ให้สมองถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

 
นอกจากการรู้จักเลือกกินอาหารบำรุงสมองเพื่อให้ได้สารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือการมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดีได้แก่ การไม่งดอาหารเช้า รับประทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและฝึกการใช้สมอง(ความคิด)ด้วยกิจกรรมฝึกสมอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยบำรุงรักษาและชะลอการเสื่อมของสมองอย่างได้ผลดีกว่าการใช้อาหารบำรุงสมองเพียงอย่างเดียว.
 



อาหารบำรุงสายตาความจำเป็นของสารอาหารวิตามิน A นั้น มีผลต่อเซลล์ของจอตา (RETINA )
ในการแปรพลังงานแสงที่ได้รับให้เป็นสัญญาณสู่ระบบประสาทด้วย ซึ่งถ้าหากขาด
ไปการรับภาพของจอตาอาจจะเสื่อมลงได้ แหล่งอาหารที่มี วิตามิน A มาก พบได้
ในผลิตผลของสัตว์ เช่น ตับ , ไข่แดง , นม , น้ำมันสกัดจากตับปลา พืชที่มีสาร
ประกอบแคโรทีน ที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามิน A เช่น พืชที่มีสารสีเขียวจัด สีแสด
สีเหลือง ผักบุ้ง , มะละกอ , ฟักทอง ฯลฯ

ความต้องการของร่างกาย ( ใน 1 วัน )
• ทารก และเด็ก 1,500 หน่วยสากล
• เด็กวัยรุ่น 2,500 หน่วยสากล
• ผู้ใหญ่ 5,000 หน่วยสากล
• หญิงมีครรภ์ 6,000 หน่วยสากล
• หญิงให้นมบุตร 8,000 หน่วยสากล

ปริมาณวิตามิน A ในอาหาร 100 กรัม
ใบยอ 43,333 หน่วยสากล
ตับไก่ 32,200 หน่วยสากล
ใบแมงลัก 26,000 หน่วยสากล
ตับวัว 24,964 หน่วยสากล
ใบโหระพา 20,712 หน่วยสากล
ผักตำลึง 18,608 หน่วยสากล
แครอท 18,502หน่วยสากล
ปูทะเล 14,155 หน่วยสากล
ผักโขม 12,860 หน่วยสากล
ตับหมู 11,900 หน่วยสากล
ใบบัวบก 10,962 หน่วยสากล
ผักชะอม 10,066 หน่วยสากล
ผักคะน้า 9,300 หน่วยสากล
ผักกระทิน 7,883 หน่วยสากล
ไข่แดง 7,675 หน่วยสากล
พริกขี้หนู , พริกชี้ฟ้า 7,010หน่วยสากล
เนย 3,300 หน่วยสากล
มะม่วงสุก 2,580 หน่วยสากล


แพทย์แนะนำให้ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองรับประทานข้าวโพด ไข่ พริกไทย
ฟักทอง และองุ่นแดงให้มากขึ้น เพื่อรักษาสายตาที่เสื่อมลงตามวัยเพราะ
อาหารดังกล่าวอุดมด้วยสารลูตินและซีแซนติน เป็นสารประกอบทางเคมี
ที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ สามารถป้องกันความเสื่อมของจุดรับแสงในดวงตา
อันเป็นส่วนหนึ่งของเรตินา ช่วงก่อนนั้นแพทย์แนะนำให้รับประทานผักใบเขียว
เพื่อป้องกันการเสื่อมของเนื้อเยื่อดวงตา

ปัจจุบันวารสารจักษุวิทยาของอังกฤษระบุว่า ผักและผลไม้ไม่ว่าจะเป็นสีใดก็เป็น
ประโยชน์ต่อสายตาทั้งนั้น เพราะจะไปเพิ่มสารลูตินและซีแซนตินให้แก่ร่างกาย
บรรดาแพทย์ยังกล่าวว่าไข่มีสารประกอบเคมีทั้งสองชนิดนี้มากที่สุดเมื่อเทียบเป็น
ร้อยละ ข้าวโพดเป็นผักที่มีสารลูตินมากที่สุด ในขณะที่พริกไทยมีสารซีแซนตินมากที่สุด

- ผักกระเฉดหน้าไก่

- แกงเลียงผักรวม

- ถั่วลันเตาผัดกุ้ง


แจ่วบอง ของแซ่บบบบบ



ส่วนผสมพริก 500 กรัม
ข่า 300 กรัม
กระเทียม 5 กก.
หอม 5 กก.
งา 300 กรัม
ใบมะกรูด 200 กรัม
และปลาร้า 6 กก.(ปลาร้าที่นำมาทำปลาร้าบอง ต้องเป็นปลาที่ผ่านการหมักมาไม่น้อยกว่า1ปี ซึ่งนิยมใช้ปลาช่อนเพราะมีเนื้อนุ่มกว่าปลาชนิดอื่น)

ส่วนผสมเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมในการทำว่าทำมากหรือน้อยแค่ไหน


วิธีทำ
นำปลาร้ามาสับให้ละเอียด (หรือบด)

- นำเครื่องเทศต่าง ๆ มาหั่นให้ละเอียด

- ผสมน้ำมะขามเปียกกับน้ำอุ่นหรือน้ำต้มสุก

- นำปลาร้าที่สับละเอียดแล้วใส่กระทะตั้งไฟให้สุก

- จากนั้นเทน้ำมะขามเปียก เครื่องเทศที่หั่นไว้แล้วลงไปผสมกับปลาร้าสับ คนให้สุกอีกครั้งด้วยไฟอ่อนๆ

- ปรุงรสชาติด้วยน้ำตาล พริกป่น ตามรสที่ต้องการ

- นำออกจากเตา รอจนเย็นแล้วนำมาบรรจุตลับหรือภาชนะที่สะอาดตามแต่ต้องการ สามารถเก็บไว้กินหลายเดือน


ขนมจีน น้ำยา






ส่วนผสม เครื่องแกง
1. พริกขี้หนูแห้ง 200 กรัม
2. รากผักชี 50 กรัม
3. กระเทียม 30 กรัม
4. หอมแดง 50 กรัม
5. ตะไคร้ 30 กรัม
6. ข่า 20 กรัม
7. ขมิ้น 10 กรัม
8. กะปิ 5 ช้อนโต๊ะ
9. เกลือ 3 ช้อนชา
10. กระชาย 50 กรัม
วิธีทำ เครื่องแกง
1. โขลกรากผักชี และกระเทียมให้ละเอียด
2. ใส่พริก และเกลือ โขลกจนละเอียด (กรณีต้องการให้โขลกง่ายให้แช่พริกในน้ำเปล่าให้เปลือกนิ่มแล้วจึงนำมาโขลก และกรณีที่ไม่ต้องการให้มีรสเผ็ดให้เอาเมล็ดพริกออกใช้แต่เปลือก จะช่วยให้รสเผ็ดน้อยลง)
3. ตามด้วยหอมแดง ตะไคร้ ข่า ขมิ้น กระชาย โขลกจนละเอียด
4. จะได้เครื่องแกงให้ใส่กระปิ น้ำตาลปี๊บ ผสมจนเครื่องแกงเป็นเนื้อเดียวกัน

ส่วนผสม ขนมจีนน้ำยา
1. พริกแกง 500 กรัม
2. ปลาช่อน 2 กิโลกรัม
3. น้ำกะทิส่วนหัว 1กิโลกรัม
4. น้ำกะทิส่วนหาง 2 กิโลกรัม
5. น้ำมัน 3  ถ้วย
6. เครื่องปรุงรส (ตามชอบ)
7. ขนมจีน 5 กิโลกรัม
วิธีทำ ขนมจีนน้ำยา
1. ตั้งน้ำให้เดือด ทุบตะไคร้ หอมแดง กระชาย ต้มจนกระทั้งเดือด ใส่เนื้อปลาลงไปต้มเพื่อลดกลิ่นคาว ต้มจนกระทั่งเนื้อปลาสุก นำเนื้อปลาขึ้นมาสะเด็ดน้ำพักไว้ โขลกเนื้อปลาให้เป็นเนื้อเดียวกัน
2. ตั้งน้ำมันให้ร้อน ใส่พริกแกงลงไปผัดให้มีกลิ่นหอม


 

ข้าวตังหมูหยอง



สูตรใหญ่เหลือเกิน นัททำแค่ 1 ใน 4 ของสูตรนี้นะคะ ส่วนวิธีทำข้าวตังดูในสูตรนี้ยากเกินกำลังค่ะ นัทเลยแค่มั่ว ๆ เอาข้าวเหนียวเก่าที่ทานเหลือมาแผ่เป็นแผ่น ๆ ตากให้แห้งสนิท แล้วก็มาทอด ก็ได้แล้วค่ะ

ส่วนผสมแผ่นข้าวตัง

ข้าวเจ้ามะลิหักอย่างดี 1 กิโลกรัม
ข้าวเหนียว 400 กรัม
น้ำสะอาดสำหรับหุงข้าว
น้ำมันพืชสำหรับทอด
แป้งมัน

ส่วนผสมหน้าหมูหยอง

ไข่ไก่ 12 ฟอง
น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 - 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 50 กรัม
หมูหยอง

วิธีทำข้าวตัง

ผสมข้าวเจ้าและข้าวเหนียวเข้าด้วยกัน เลือกเอากรวด ทราย และสิ่งสกปรกออก นำไปซาวให้สะอาด แล้วนำไปหุง โดยใส่น้ำให้มากกว่าการหุงข้าวตามปกติเล็กน้อย โดยกะว่าให้ข้าวออกมาแล้วเป็นเหมือนข้าวต้มข้น ๆ เมื่อข้าวสุกดีแล้ว ใช้ไม้พายคนขาว เพื่อไม่ให้ข้าวติดกัน

นำแป้งมันผสมน้ำเล็กน้อย แล้วนำไปกวนให้เป็นแป้งเปียกพอเหนียวแต่ไม่ต้องข้น แล้วยกลงจากเตาพักไว้ให้เย็น

ทาน้ำมันพืชให้ทั่วกระทะ นำข้าวที่หุงสุกแล้ว ตักมาใส่ในกระทะ ใช้มือกดแผ่ข้าวออกให้เป็นแผ่นบาง ๆ ให้ทั่วกระทะ จากนั้นทาผิวหน้าข้าวด้วยแป้งเปียกที่เตรียมไว้ให้ทั่วเพื่อให้แป้งติดกันดี

จากนั้นนำกระทะที่ใส่ข้าวไปตั้งบนเตา ใช้ไฟอ่อน ๆ นานประมาณ 10 นาที ข้าวก็จะแห้งพอหมาด ๆ ร่อนออกจากตัวกระทะเอง แล้วนำแผ่นข้าวออกมาตัดออกให้เป็นแผ่นขนาดตามต้องการ นำไปวางเรียงในกระด้งหรือตะแกรง ผึ่งแดดให้แห้ง 1 วัน แล้วนำมาทอดในน้ำมันร้อนจนเหลืองกรอบ ตักขึ้น พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

วิธีทำหน้าหมูหยอง

ตอกไข่ใส่ลงในอ่างผสม ใส่เครื่องปรุงอื่น ๆ (ยกเว้นหมูหยอง) ตามลงไป นำไปตี จนส่วนเป็นครีมข้นและฟูขึ้นประมาณ 2 เท่าตัว ก็ใช้ได้

นำครีมที่ได้มาทาให้ทั่วแผ่นข้าวตังที่ทอดแล้ว โรยด้วยหมูหยองให้ทั่วแผ่น วางเรียงใส่ถาดแล้วนำเข้าเตาอบ ใช้ไฟอ่อนนานประมาณ 12 - 15 นาที หรือจนแห้งสนิท นำออกมาพักไว้ให้เย็น เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท

อาหารผิว คร้าาา




1. ผลไม้สีเหลือง
ผักผลไม้กลุ่มนี้มีวิตามินเอตามธรรมชาติ หรือกลุ่มแคโรทีนอยด์ ซึ่งที่เรารู้จักกันในกลุ่มนี้คือ เบต้าแคโรทีนนั่นเอง สารกลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวเราจากแสงยูวี ป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งทางเดินอาหาร และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดขาวอีกด้วยค่ะ ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ได้แก่ แครอท ส้ม มะละกอ ฟักทอง แอพริคอต มะเขือเทศ แตงโม เป็นต้น

2. ผลไม้สีม่วง
ในผักผลไม้กลุ่มนี้จะมีสารแอนโทไซยานิน และโอพีซี ซึ่งเป็ฯสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดไขมันตัวไม่ดีคือ LDL ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม ปอด และกระเพาะอาหาร ที่สำคัญช่วยชะลอการเหี่ยวของผิวหนังได้ค่ะ ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ได้แก่ องุ่นดำ ราสเบอร์รี่ผักกาดม่วง เชอร์รี่ มะเขือม่วง บลูเบอร์รี่ ซึ่งบลูเบอร์รี่นี้ยังสามารถช่วยเสริมสร้างการสื่อสารกันระหว่างเซลสมอง ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมตามวัยได้อีกด้วยค่ะ
3. ผลไม้สีเขียว ผักผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ คะน้า ผักบุ้ง บรอกโคลี่ ปวยเล้ง ถั่วงอกสด พริกหวานเขียว เป็นต้น ผักสีเขียวจะมีสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่สำคัญซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสายตา ป้องกันการเกิดตาบอดในวัยชรา และยังมีเส้นใยอาหารสูง จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ค่ะ

4. ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
เป็นเคล็ดลับความงามจากญี่ปุ่นค่ะ คือสาวๆ ญี่ปุ่นจะรับประทานอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นประจำ สังเกตได้จากอาหารญี่ปุ่นจะมีเต้าหู้ประกอบหลายเมนูค่ะ ในผลิตภัณฑ์จากถั่งเหลืองจะมีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังช่วยลดไขมันตัวไม่ดี LDL ในเลือดและพิ่มไขมันตัวดี HDL อีกด้วยค่ะ และยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ นอกจากนี้ถั่วเหลืองมีคุณสมบัติเป็น Phytoestrogen คือมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิง ถั่วเหลืองจึงช่วยชะลอการเหี่ยวแห้งของผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอีกด้วยค่ะ

5. ปลาแซลมอนนอกจากปลาแซลมอนแล้วยังมีปลาทูน่า ปลาโอ ที่มีโอเมกา 3 ซึ่งมีสารบำรุงผิวที่ต่างจากสารอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความคงตัวของผนังเซล จึงช่วยให้ทนต่อการทำลายของอนุมูลอิสระ และช่วยเพิ่มการกระชับผิวอีกด้วยค่ะ

6. โยเกิร์ตในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียที่ดีกับร่างกาย จะช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ กำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค ปรับภูมิคุ้มกันให้สมดุลแข็งแรงขึ้น ขับถ่ายคล่องขึ้น การดูดซึมสารอาหารต่างๆ ดีขึ้น และลดการอักเสบของร่างกาย ควรทานโยเกิร์ตที่พร่องมันเนยนะคะ จะได้ไม่อ้วน

7. เห็ดทุกชนิด
เห็ดจะมีสารอาหารที่จำเป็นเกือบครบทุกชนิดทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีไขมันต่ำ ไม่มีคอเลสเตอรอลปน การทานเห็ดจึงช่วยให้อิ่มท้องได้นานและไม่อ้วนค่ะ นอกจากนี้เห็ดมีสารซิลิเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันมะเร็งและมีทองแดง ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวอีกด้วยครับ

การดีท็อกส์ลำใส้



การดูแลและรักษาสุขภาพ เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนพยายามเรียนรู้ เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ และโดยเฉพาะให้ห่างจากค่ารักษาพยาบาลอันสุดแสนแพง ในขณะที่เจ็บป่วยจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล เป็นข้อที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การมีสุขภาพที่ดี จึงเป็นลาภอันประเสริฐ

การดีท็อกซ์ลำไส้หรือการล้างลำไส้แบบธรรมชาติ
เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมและอยู่ในความสนใจ ของกลุ่มบุคคลที่ดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ซึ่งบางกรรมวิธีค่อนข้างยุ่งยากและต้องมีอุปกรณ์สนับสนุน แต่วิธีที่แตงกวาจะแนะนำต่อไปนี้ไม่ยุ่งยากค่ะ ทานง่าย สะดวก แถมอิ่มท้อง ถูกตังค์ และมีประสิทธิภาพคับแก้วค่ะ

วิธีดีท็อกซ์ลำไส้สูตรนี้ ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ได้กรุณาถ่ายทอดให้ผู้สนใจได้นำไปใช้ดูแลตนเอง คือ สูตร โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว แตงกวาจึงขอนำมาเผยแพร่ เพื่อแบ่งปันความรู้ในเรื่องสุขภาพ เพื่อให้ท่านที่ชื่นชอบและสมาชิกเกจิอาจารย์ได้มีสุขภาพที่ดี และขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

ส่วนผสมดีท็อกซ์ ลองรสแบบที่แตงกวา ทดลองแล้วเป็นรสกำลังดี แต่ถ้ารสยังไม่ใช่ ก็สามารถเพิ่มน้ำผึ้งและมะนาวได้อีกนะคะตามความชอบ แต่ถ้าใครเป็นเบาหวานก็ระวังปริมาณของน้ำผึ้งสักนิด วัตถุดิบที่จะทำดีท็อกซ์ลำไส้ มีดังต่อไปนี้ค่ะ
1. มะนาวแป้นน้ำเยอะ ครึ่งลูก
2. น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
3. โยเกิร์ต(ใช้รสธรรมชาติเท่านั้น) ครึ่งถ้วย
4. นมสดรสจืด(แบบUHT และดูข้างกล่องก่อนซื้อนะคะ) ต้องใช้ชนิดที่เป็นนมโคแท้ 100% เท่านั้น ขนาด 180 มล. 1 กล่อง ถ้าเป็นสูตรพร่องมันเนย นมจะไม่ครบ 100% ไม่ใช้นะคะ ไม่ได้ประโยชน์ค่ะ

วิธีทำง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ดังนี้ค่ะ เป็นปริมาณในการบริโภค สำหรับ 1 ท่าน เริ่มจาก
1. ผ่ามะนาวตามแนวนอน ครึ่งลูก ใช้ปลายมีดแกะเมล็ดออก แล้วบีบน้ำมะนาวใส่แก้ว
2. จากนั้น เติมน้ำผึ้ง ในปริมาณ 1 ช้อนชา ลงไป(หรือประมาณ 1/3 ของ 1 ช้อนโต๊ะ)
3. ตักโยเกิร์ต ครึ่งถ้วย(หรือประมาณ 3 ช้อนโต๊ะพูนๆ) ลงไป
4. เทนมโคแท้ 100 % จำนวน 1 กล่อง ลงไป
5. คนส่วนผสมทั้ง 4 อย่างให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ยกขึ้นดูน้ำผึ้งไม่ติดช้อนแล้ว ควรทานทันทีไม่ควรตั้งทิ้งไว้ หรือนำไปแช่ตู้เย็น

การทานโยเกิร์ตสูตรดีท็อกซ์ เพื่อการล้างสำไส้แบบธรรมชาติ

การทานโยเกิร์ตสูตรล้างลำไส้นี้ แนะนำให้ทานตอนเช้า หลังจากที่ดื่มน้ำสะอาด 1-2 แก้วแล้ว ช่วงเวลาตั้งแต่ 05.30 - 07.00 น. เพราะหลังจากที่ท่านดีท็อกซ์ไปแล้ว ระบบปฏิบัติการภายในร่างกายของแต่ละท่านจะไม่เหมือนกัน บางท่านอาจมีอาการอยากเข้าห้องน้ำ อันนี้ไม่ต้องตกใจนะคะ นี่เป็นกระบวนการที่มีปฎิกริยาของการดีท็อกซ์ลำไส้ ที่จะทำการขับของเสียของคุณออกมาเองตามธรรมชาติ และบางท่านที่ไม่คุ้นกับการดื่มนมในตอนเช้า อาจมีการขับของเสียประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน ในช่วงที่ทานวันแรก การล้างลำไส้เป็นการล้างไขมันที่เกาะติดตามผนังลำไส้ออกไป ทำให้ลำไส้สะอาดขึ้น ส่วนท่านที่ทานนมเป็นประจำอยู่แล้ว อาการแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นค่ะ ระบบจะเป็นปกติเหมือนทุกวันค่ะ

ดังนั้น แตงกวาขอแนะนำผู้ที่เริ่มทานเป็นครั้งแรก ให้ทดลองทานในวันหยุดค่ะ แฮ่ะๆ..จะได้ทำธุระได้สะดวก และเป็นการสำรวจว่าทานแล้ว จะเข้าห้องน้ำบ่อยไหม แต่หลังจากนั้นก็จะไม่ถี่มากเหมือนครั้งแรก และเข้าสู่สภาวะปกติเช่นเคย

นอกเหนือจากนี้ ท่านผู้รู้ได้แนะนำเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโยเกิร์ต ในการดีท็อกซ์ลำไส้ตามหลักหยินหยาง ของการทำโยเกิร์ตที่จะทาน คือ โยเกิร์ต โดยปกติจะต้องแช่เย็น เพื่อการถนอมคุณค่าทางอาหารไม่ว่ากัน แต่สำหรับนม ที่เป็นส่วนผสมในรูปแบบ UHT ขอแนะนำว่าไม่ควรแช่เย็น ให้วางไว้ในอุณหภูมิห้อง เพื่อไม่ให้การทานโยเกิร์ต หรือดีท็อกซ์ลำไส้ มีความเย็นจนเกินไป เพราะความเย็นมากไปทำให้อาหารมีสภาพที่เป็นหยินชี่มากไป ซึ่งไม่เหมาะกับการทานเพื่อใช้ในการล้างลำไส้ ซึ่งต้องทำในช่วงเช้า แต่หากนำนมเก็บไว้ในตู้เย็น ขอแนะนำให้นำไปอุ่น โดยการแช่ในน้ำที่ต้มร้อนแล้ว เพื่อให้คลายความเย็น แต่ไม่ต้องถึงกับนำนมไปต้มเดือดนะคะ เดี๋ยวจะสูญเสียคุณค่าทางอาหารไป

ที่ต้องให้นมมีอุณหภูมิอย่างน้อยที่อุณหภูมิห้อง เพราะการทานดีท็อกซ์ลำไส้ ทานในเวลาเช้า หลังจากดื่มน้ำสะอาดเข้าไปสักพักแล้ว ซึ่งร่างกายที่พักผ่อนมายาวนาน ยังมีความเป็นหยินอยู่ ยังไม่ตื่นตัวเต็มที่ บางครั้งยังหาว วอด...วอด...อยู่ การทานจึงควรมีอุณหภูมิปกติหรืออุณหภูมิห้อง เพื่อให้สภาพของหยางชี่ไปกระตุ้นระบบต่างๆ ของร่างกาย ให้เตรียมพร้อมกับการดำเนินชีวิตตลอดวัน (เป็นการกระตุ้นระบบต่างๆ ของร่างกาย)

ดังนั้น เมื่อท่านตื่นนอนทุกเช้าควรดื่มน้ำ อย่างน้อย 1-2 แก้ว เป็นน้ำอุ่นยิ่งดีค่ะ ยกเว้นน้ำเย็น เพื่อช่วยให้ลำคอชุ่มชื่น แม้ว่าอาจจะไม่ได้ทานดีท็อกซ์ก็ควรดื่มน้ำ แต่ถ้าตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันได้ดื่มน้ำ แต่จะทานดีท็อกซ์เลย อันนี้จะทำให้เหนียวคอ สักพัก...คุณๆจะไอแค๊ก...แค๊ก...อย่าเชียว...ขอเตือนค่ะ และหลังดีท็อกซ์แล้ว ดื่มน้ำธรรมดาตามได้อีก 1/2 ถึง 1 แก้ว กันคอเหนียว และไอ ค่ะ

สำหรับประโยชน์ของการล้างลำไส้ หรือดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยโยเกิร์ต สูตรนี้
1. ช่วยให้มีการขับของเสียได้ดี โดยไม่ต้องพึ่งยาระบาย โดยเฉพาะท่านที่มักท้องผูก
2. ช่วยให้ท่านที่มักมีอาการเบื่ออาหาร หรือรู้สึกปากขมทานอะไรไม่อร่อย มีการรับรสที่ดีขึ้น
3. ช่วยล้างลำไส้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เกิดการระคายเคืองต่อระบบภายในร่างกาย
4. ได้สารอาหารครบถ้วน เพราะปริมาณ 1 แก้ว ที่ท่านทานในตอนเช้า สามารถทดแทนมื้อเช้าได้เช่นกัน
5. สะดวก ประหยัด และไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องตุนอะไรเยอะแยะ อยากจะทานเมื่อไรค่อยไปหาซื้อมา

หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆ ท่านนะคะ

อาหารเพื่อ ผิวสวยหน้าใส วิ้งๆๆว้าววๆๆ

  

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
   ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
 
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2551 11:11 น. http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603

อาหารกินเล่น



การทำอาหารทานเล่น




วันนี้ปรีชาขายหมูสะเต๊ะในงานเทศกาลอาหารสุพรรณบุรีคืนละ 5,000 ไม้ จึงได้ฉายาจากชมรมร้านอาหารสุพรรณบุรีว่า เปี๊ยก 5,000 ไม้ เป็นอาชีพที่เลี้ยงครอบครัวสบาย ๆ

เครื่องปรุงหมูสะเต๊ะ เปี๊ยก 5,000 ไม้

1.เนื้อหมูใต้ซี่โครง 10 กิโลกรัม

2.น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม

3.เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

4.ผงกะหรี่ตรามือ 2 ช้อนโต๊ะ

5.น้ำส้มสายชู 5% 1 ถ้วยแก้ว
วิธีหมักเนื้อหมูสะเต๊ะ

1.แล่เนื้อหมูให้เป็นชิ้นพอเสียบไม้

2.เทเครื่องปรุงทุกอย่างลงไปหมักในหมู
นาน 3 ชั่วโมง จึงนำหมูไปเสียบไม้
เครื่องปรุงน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ

1.ถั่วลิสงคั่วบด 2 กิโลกรัม

2.พริกแกง (สีแดง) 1.5 กิโลกรัม

3.เกลือป่น 1 ช้อนชา

4.กะทิ 5 กิโลกรัม

5.น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม

วิธีทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ

1.รวนพริกแกงกับน้ำกะทิให้เป็นเนื้อเดียวกัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือป่น ให้ออกรสหวานนำเผ็ดจากพริกแกง

2.โรยถั่วลิสงบดลงไปในน้ำแกง เคี่ยวจนเครื่องปรุงต่าง ๆ เข้ากัน

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ปลานิล น่ารัก


ปลานิล







(Oreochromis nilotica) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณค่าทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี 2508 เป็นต้นมา เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย เจริญเติบโตเร็ว และเป็นที่นิยมของผู้บริโภค เนื้อปลามีรสชาติดี ปัจจุบันเกษตรกรนิยมเลี้ยงปลานิลกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งการเพาะเลี้ยงปลานิลของไทยส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงในบ่อดิน ส่วนที่เหลือนั้นเลี้ยงในนาข้าวและร่องสวนรูปร่างลักษณะ
ภาพจาก: The Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST)
รูปร่างของปลานิลคล้ายกับปลาหมอเทศ แต่ลักษณะพิเศษของปลานิลมีดังนี้คือ ริมฝีปากบนและล่างเสมอกัน ที่บริเวณแก้มมีเกล็ด 47 แถว ตามลำตัวมีลายขวางจำนวน 9-10 แถบนอกจากนั้น ลักษณะทั่วไปมีดังนี้ ครีบหลังมีเพียง 1 ครีบ ประกอบด้วยก้านครีบแข็งและก้านครีบอ่อนเป็นจำนวนมาก ครีบก้นประกอบด้วยครีบแข็งแลอ่อนเช่นกัน มีเกล็ดตามแนวเส้นข้างตัว 33 เกล็ด ลำตัวมีสีเขียวปนน้ำตาล ตรงกลางเกล็ดมีสีเข้ม ที่กระดูกแก้มมีจุดสีเข้มอยู่จุดหนึ่ง บริเวณส่วนอ่อนของครีบหลัง ครีบก้น และครีบหางนั้นจะมีจุดสีขาวและสีดำตัดขวางแลดูคล้ายลายข้าวตอก
การเพาะพันธุ์ปลานิล
การเพาะพันธุ์ปลานิลให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ ต้องได้รับการเอาใจใส่และมีการปฏิบัติใน ด้านต่าง เช่น การเตรียมบ่อ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ การตรวจสอบลูกปลา และการอนุบาลลูกปลา สำหรับการเพาะปลานิลในบ่อดินมีวิธีการ ดังต่อไปนี้1. การเตรียมบ่อเพาะพันธุ์ บ่อดินที่ใช้เป็นบ่อเพาะปลานิลควรเป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อที่ตั้งแต่ 50-1,600 ตารางเมตร สามารถเก็บกักน้ำได้ระดับสูง 1 เมตร บ่อควรมีเชิงลาดตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันดินพังทลาย และมี ชานบ่อกว้าง 1-2 เมตร ถ้าเป็นบ่อเก่าก็ควรวิดน้ำและสาดเลนขึ้น ตกแต่งภายในบ่อให้ดินแน่น ใส่โล่ติ๊น กำจัดศัตรูของปลาอัตราส่วนใช้โล่ติ๊นแห้ง 1 กก./ปริมาตรของน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร โรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ 1 กก./ พื้นที่บ่อ 10 ตรม. ใส่ปุ่ยคอกแห้ง 300 กก./ไร่ ตากบ่อทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน จึงเปิดหรือสูบน้ำเข้าบ่อ ผ่านผ้ากรองหรือตะแกรงตาถี่ให้มีระดับสูงประมาณ 1 เมตร การใช้บ่อดินเพาะปลานิลจะมีประสิทธิภาพ ดีกว่าวิธีอื่น เพราะเป็นบ่อที่มีลักษณะคล้ายคลึงธรรมชาติ และการผลิตลูกปลานิลจากบ่อดินจะได้ผลผลิตสูง ต้นทุนต่ำกว่าวิธีอื่น
2. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ การคัดเลือกพ่อแม่ปลานิล จากการสังเกตจากลักษณะภายนอกของปลาที่สมบูรณ์ปราศจากเชื้อโรคและบาดแผล สำหรับพ่อแม่ปลาที่พร้อมจะวางไข่นั้นสังเกตได้จากอวัยวะเพศถ้าเป็นปลาตัวเมีย จะมีสีชมพูแดงเรื่อ ส่วนปลาตัวผู้ก็สังเกตได้ จากสีของตัวปลาที่เข้มสดใสโดยเปรียบเทียบกับปลานิล ตัวผู้อื่น ที่จับขึ้นมา ขนาดของปลาตัวผู้และตัวเมียควรมีขนาดไล่เลี่ยกันคือมีความยาวตั้งแต่ 15-25 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 150-200 กรัม
3. อัตราส่วนที่ปล่อยพ่อแม่ปลาลงเพาะ ปริมาณพ่อแม่ปลาที่จะนำไปปล่อยในบ่อเพาะ 1 ตัว/4 ตารางเมตร หรือไร่ละ 400 ตัว ควรปล่อยในอัตราส่วนพ่อปลา 2 ตัว /แม่ปลา 3 ตัว เนื่องจากได้สังเกตจากพฤติกรรมในการผสมพันธุ์ของปลาชนิดนี้ ปลาตัวผู้มีสมรรถภาพที่จะผสมพันธุ์กับปลาตัวเมียอื่น ได้อีก ดังนั้น การเพิ่มอัตราส่วนของปลาตัวเมียให้มากขึ้นคาดว่าจะได้ลูกปลานิลเพิ่มขึ้น
4. การให้อาหารและปุ๋ยในย่อเพาะพันธุ์ การเลี้ยงปลานิลมีความจำเป็นที่จะต้องให้อาหารสมทบ หรืออาหารผสมได้แก่ ปลายข้าว สาหร่าย รำละเอียด ในอัตราส่วน 1:2:3 โดยให้อาหารดังกล่าวแก่พ่อแม่ปลานิลประมาณ 2% ของน้ำหนักตัว ทั้งนี้เพื่อให้ปลานิลใช้เป็นพลังงาน ซึ่งต้องใช้มากกว่าในช่วงการผสมพันธุ์ ส่วนปุ๋ยคอกแห้งก็ต้องใส่ในอัตราส่วนประมาณ 100-200 กก./ไร่/เดือน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มพูนอาหารธรรมชาติในบ่อ ได้แก่ พืชน้ำขนาดเล็ก ไรน้ำ และตัวอ่อน อันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกปลานิลวัยอ่อนที่หลังจากถุงอาหารยุบตัวลง และจะต้องดำรงชีวิตอยู่ในบ่อเพาะดังกล่าวประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะย้ายไปเลี้ยงในบ่ออนุบาล ถ้าในบ่อขาดอาหารธรรมชาติดังกล่าว ผลผลิตลูกปลานิลจะได้น้อยเพราะขาดอาหารที่จำเป็นเบื้องต้น หลังจากถุงอาหารได้ยุบตัวลงใหม่ ก่อนที่ลูกปลานิลจะสามารถกินอาหารสมทบอื่น ได้ อาหารสมทบ ที่หาได้ง่ายคือ รำข้าว ผสมกับปลาป่น กากถั่ว และวิตามิน นอกจากนี้ แหนเป็ด และสาหร่าย หลายชนิดก็สามารถจะใช้เป็นอาหารเสริมแก่พ่อแม่ปลานิลได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอนการเลี้ยงปลานิลในบ่อดิน
1. กำจัดวัชพืชและพันธุ์ไม้น้ำต่าง เช่น กก หญ้า ผักตบชวาให้หมดโดยนำมากองสุมไว้แห้ง แล้วนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักในขณะที่ปล่อยปลาลงเลี้ยง ถ้าในบ่อเก่ามีเลนมากจำเป็นต้องสาดเลนขึ้นโดยนำไปเสริมคัดดินที่ชำรุด หรือใช้เป็นปุ๋ยแก่พืช ผัก ผลไม้ พร้อมทั้งตกแต่งเชิงลาดและอัดดินให้แน่นด้วย
กำจัดศัตรูของปลานิล ได้แก่ ปลาจำพวกกินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาหมอ ปลาดุก นอกจากนี้ก็มีสัตว์จำพวก กบ เขียด งู เป็นต้น โดยวิธีระบายน้ำออกให้เหลือน้อยที่สุด การกำจัดศัตรูของปลาอาจใช้โล่ติ๊นสด หรือแห้ง ประมาณ 1 กิโลกรัม ปริมาณของน้ำในบ่อ 100 ลูกบาศก์เมตร คือทุบหรือบดโล่ติ๊นให้ละเอียด นำลงแช่น้ำประมาณ 1-2 ปี๊บ ขยำโล่ติ๊นเพื่อให้น้ำสีขาวออกมาหลาย ครั้งจนหมดนำไปสาดให้ทั่วบ่อ ศัตรูพวกปลาจะลอยหัวขึ้นมาภายหลังโล่ติ๊นประมาณ 30 นาที ใช้สวิงจับขึ้นมา ที่เหลือตายพื้นบ่อจะลอยในวันรุ่งขึ้น ส่วนศัตรูจำพวกกบเขียดงูจะหนีออกจากบ่อไป และก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยง ควรจะทิ้งระยะไว้ประมาณ 7 วัน เพื่อให้ฤทธิ์ของโล่ติ๊นสลายตัวไปหมดเสียก่อน
2. การใส่ปุ๋ย โดยปกติแล้วอุปนิสัยในการกินอาหารของปลานิลจะกินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนพืช และสัตว์ แหน สาหร่าย ฯลฯ ดังนั้น ในบ่อเลี้ยงปลาควรให้อาหารธรรมชาติดังกล่าวเกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยลงไปเพื่อละลายเป็นธาตุอาหาร ซึ่งพืชน้ำขนาดเล็กจำเป็นใช้ในการปรุงอาหารและเจริญเติบโตโดยกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งเป็นโซ่อาหารอันดับต่อไป คือ แพลงก์ตอนสัตว์ ได้แก่ ไร่น้ำ และตัวอ่อนของแมลง ปุ๋ยที่ใช้ ได้แก่ มูลวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ นอกจากปุ๋ย ที่ได้จากมูลสัตว์แล้วก็อาจใช้ปุ๋ยหมักจำพวกหญ้าและฟางข้าวปุ๋ยสดต่าง ได้เช่นเดียวกัน
อัตราส่วนการใส่ปุ๋ยคอกในระยะแรก ควรใส่ประมาณ 250-300 กก./ไร่/เดือน ส่วนในระยะหลัง ควรลดลงเพียงครึ่งหนึ่ง หรือสังเกตจากสีของน้ำในบ่อ ถ้ายังมีสีเขียวอ่อนแสดงว่ามีอาหารธรรมชาติ เพียงพอ ถ้าน้ำใส่ปราศจากอาหาร ธรรมชาติก็เพิ่มอัตราส่วนให้มากขึ้น และในกรณีที่หาปุ๋ยคอกไม่ได้ก็ อาจใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15 : 15 : 15 ใส่ประมาณ 5 กก./ไร่/เดือน ก็ได้ วิธีใส่ปุ๋ย ถ้าเป็นปุ๋ยคอกควรตาก บ่อให้แห้งเสียก่อน เพราะปุ๋ยสดจะทำให้น้ำมีแก๊สจำพวกแอมโมเนียละลายอยู่น้ำหนักมากเป็นอัตรายต่อ ปลา การใส่ปุ๋ยคอกใช้วิธีหว่านลงไปในบ่อให้ละลายน้ำทั่ว บ่อ ส่วนปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยสดนั้นควร กองสุมไว้ ตามมุมบ่อ 2-3 แห่ง โดยมีไม้ปักล้อมเป็นคอกรอบกองปุ๋ยเพื่อป้องกันมิให้ส่วนที่ยังไม่สลายตัว กระจัดกระจาย
3. อัตราปล่อยปลาเลี้ยงในบ่อดิน ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำ อาหาร และการจัดการเป็นสำคัญ โดยทั่วไป จะปล่อยลูกปลาขนาด 3-5 ซม. ลงเลี้ยงในอัตรา 1-3 ตัว/ตารางเมตร หรือ 2,000 - 5,000 ตัว/ไร่
4. การให้อาหาร การใส่ปุ๋ยเป็นการให้อาหารแก่ปลานิลที่สำคัญมากวิธีหนึ่ง เพราะจะได้อาหารธรรมชาติ ที่มีโปรตีนสูงและราคาถูก แต่เพื่อเป็นการเร่งให้ปลาที่เลี้ยงเจริญเติบโตขึ้นหรือถูกต้องตามหลักวิชาการ จึงควรให้อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรทเป็นอาหารสมทบด้วย เช่น รำ ปลายข้าว กากมะพร้าว มันสำปะหลัง หั่นต้ม ให้สุก และเศษเหลือของอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น กากถั่วเหลืองจากโรงทำเต้าหู้ กากถั่วลิสง อาหารผสมซึ่งมีปลาป่น รำข้าว ปลายข้าว มีจำนวนโปรตีนประมาณ 20% เศษอาหารที่เหลือจากโรงครัวหรือภัตตาคาร อาหารประเภทพืชผัก เช่น แหนเป็น สาหร่าย ผักตบชวาสับให้ละเอียด เป็นต้น อาหารสมทบเหล่านี้ควรเลือกชนิดที่มีราคาถูกและหาได้สะดวกส่วนปริมาณที่ให้ก็ไม่ควรเป็น 4% ของน้ำหนักปลาที่เลี้ยง หรือจะใช้วิธีสังเกตจากปลาที่ขึ้นมากินอาหารจากจุดที่ให้เป็นประจำ คือ ถ้ายังมีปลานิลออกันอยู่มากเพื่อรอกินอาหารก็เพิ่มจำนวนอาหารมากขึ้นตามลำดับทุก 1-2 สัปดาห์ ในการให้อาหารสมทบมีข้อพึงควรระวัง คือ ถ้าปลากินไม่หมด อาหารจมพื้นบ่อ หรือละลายน้ำมากก็ทำให้เกิดน้ำเน่าเสียเป็นอันตรายต่อปลาที่เลี้ยง และ/หรือต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการสูบถ่าย เปลี่ยนน้ำบ่อย การเจริญเติบโตและผลผลิต
ปลานิลเป็นปลาที่มีการเจริญเติบโตเร็ว เมื่อได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องจะมีขนาดเฉลี่ย 500 กรัม ในเวลา 1 ปี ผลผลิตไม่น้อยกว่า 500 กก./ไร่/ปี ในกรณีที่เลี้ยงในกระชังที่คุณภาพน้ำดีมีอาหารสมทบอย่างสมบูรณ์ สามารถให้ผลผลิตไม่น้อยกว่า 5 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
การจับจำหน่ายและการตลาดระยะเวลาการจับจำหน่าย ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับขนาดของปลานิลและความต้องการของตลาด โดยทั่วไปเป็นปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยงในบ่อรุ่นเดียวกัน ก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะจับจำหน่าย เพราะปลานิลที่ได้จะมีน้ำหนักประมาณ 2-3 ตัวต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่ตลาดที่ต้องการส่วนปลานิล ที่ปล่อยลงเลี้ยงหลายรุ่นในบ่อเดียวกัน ระยะเวลาการจับจ่ายจำหน่ายก็ขึ้นอยู่กับราคาปลาและความต้อง การของผู้ซื้อการจับปลาทำได้ 2 วิธี ดังนี้
1. จับปลาแบบไม่วิดบ่อแห้ง จะใช้อวนตาห่างจับปลา เพราะจะได้ปลาที่มีขนาดใหญ่ตามที่ต้องการ การตีอวนจับปลากระทำโดยผู้จับจำหน่ายและยืนเรียงแถวหน้ากระดานโดยมีระยะห่างกันประมาณ 4.50 เมตร โดยอยู่ทางด้านหนึ่งของบ่อแล้วลากอวนไปยังอีกด้านหนึ่งของบ่อตามความยาวแล้วยกอวนขึ้น หลักจากนั้นก็นำสวิงตักปลาใส่เข่งเพื่อชั่งขาย ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนได้ปริมาณตามที่ต้องการ ส่วนปลาเล็ก ก็คงปล่อยเลี้ยง
2. จับปลาแบบวิดบ่อแห้ง ก่อนทำการจับปลาจะต้องสูบน้ำออกจากบ่อให้เหลือน้อยแล้วจึงตีอวนจับปลาเช่นเดียวกับวิธีแรก จนกระทั่งปลาเหลือจำนวนน้อยจึงสูบน้ำออกจากบ่ออีกครั้งหนึ่ง และขณะเดียวกันก็ตีน้ำไล่ปลาให้ไปรวมกันอยู่ในร่องบ่อ ร่องบ่อนี้จะเป็นส่วนที่ลึกอยู่ด้านหนึ่งของบ่อเมื่อนำไปบ่อแห้ง ปลาก็จะมารวมกันอยู่ที่ร่องบ่อ และเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาก็จับปลาขึ้นจำหน่ายต่อไป การจับปลาลักษณะนี้ส่วนใหญ่จำทำทุกปีในฤดูแล้ง เพื่อตากบ่อให้แห้งและเริ่มต้นเลี้ยงปลาในฤดูการผลิตต่อไป

ตลาดของปลานิลส่วนใหญ่ยังใช้บริโภคภายในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีโรงงานห้องเย็นเริ่มรับซื้อ ปลานิล ปลานิลแดง เพื่อแปรรูปส่งออกจำหน่ายต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอมริกา อิตาลี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เป็นต้น โดยโรงงานจะรับซื้อ ปลาขนาด 400 กรัม ขึ้นไป เพื่อแช่แข็งส่งออกทั้งตัว และรับ ซื้อปลา ขนาด 100-400 กรัม เพื่อแล่เฉพาะเนื้อแช่แข็ง หรือนำไปแปรรูปเพื่อส่งออกต่อไป